การเดินทางของทีมงานเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ทราบว่ายังมี การเลี้ยงปลาหมอ ทางภาคใต้เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ลูกพันธุ์ที่มีคุณภาพ จาก อำพรพันธุ์ปลา โดย คุณพีระพงค์ เจริญลาภ หรือ คุณพงค์ ที่เคยให้ ทีมงานนิตยสารสัตว์น้ำได้เข้าไปพบปะพูดคุยและเยี่ยมชมฟาร์มเพาะ
เลี้ยงปลาหมอ ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ จ.สุราษฎร์ธานี มาแล้ว 15 ปี
อัมพรพันธุ์ปลาวันนี้ลูกค้าของคุณพงค์ไม่เคยลดลงไป แถมจะมีแต่เพิ่มมากขึ้น
แต่ก็ไม่สามารถผลิตตรงตามออร์เดอร์ที่ทุกคนสั่งได้
ซึ่งเขาพอใจกับกำลังการผลิตในตอนนี้อยู่แล้ว
เลี้ยงปลาหมอ
เลี้ยงปลาหมอ
ต้องมีการเตรียมบ่อโดยมีการสาดปูนขาวแล้วใส่น้ำประมาน 30 เซนติเมตร แช่ไว้
3-4 วันแล้วดูดออกและเติมน้ำบาดาลไปเรื่อยๆจนได้ 75 เซนติเมตร
ก่อนปล่อยปลา 1 วันจะใช้ด่างทับทิม ครึ่งกิโลกรัม หรือหว่านเกลือ 60
กิโลกรัม ก่อนเพื่อฆ่าเชื้อ และเมื่อลงปลาได้ 1 วัน จะให้ อาหารอนุบาลปลาวัยอ่อน ปั้นเป็นก้อนโยนให้วันละ 3 มื้อ
หากอากาศร้อนให้จะไม่ให้เลย
และเมื่อปลาครบ 2 เดือนจะมีการเติมน้ำในบ่อทุกวันโดยใช้ระบบน้ำล้น
ในระหว่างการเลี้ยงจะมีการใส่ EM หรือ
กากน้ำตาลเสริมโดยที่นำมาคลุกกับอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อการย่อยอาหารและขยายลำไส้
และนอกจากนี้ยังให้วิตามินซีเสริมเพื่อให้ปลาลดความเครียด อาหารที่คลุกกับสารเสริมต่างๆจะใช้ของ บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งปลาหมอของอำพรฟาร์ม
เป็นปลาหมอที่มีการแปลงเพศจะทำให้กินอาหารเก่ง ใช้ระยะเวลาใน เลี้ยงปลาหมอ
110 – 130 วัน ซึ่งจะใช้อาหารเพียง 500 กระสอบ กำไรจะมาก
อัตราแลกเนื้ออยู่ที่ 1.5 – 1.6 ขนาดไม่จำเป็นต้องใหญ่ขอให้มีขนาดเสมอกัน
แต่อาหาร บริษัท ไทยลักซ์ ฯ เลี้ยงแล้วสีสวย นวล เหมือนปลาธรรมชาติ เกร็ดแข็งทำให้ขั้นตอนในการขนส่งง่ายขึ้น ไม่บอบช้ำ เป็นสาเหตุหลัก ๆ ให้เกษตรกรหันมาใช้กัน
ปัญหาในการเลี้ยง
มรสุมประจำถิ่นของภาคใต้คือในช่วงเช้าแดดแรงและช่วงบ่ายมีฝนตก
ซึ่งสภาพอากาศแบบนี้จะเป็นปัญหาหลักต่อระบบการย่อย
หากอุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงเร็วจะทำให้ปลาอ่อนแอ
มีวิธีแก้ไขเพียงวิธีการเดียวคือการสังเกตและชะลอการให้อาหาร
ปัญหาที่ตามมาคือลมจัด ลมพัดแรงทำให้อาหารโดนพัดไปอยู่ริมตลิ่ง
กินได้ไม่ทั่วถึง
แต่ปัญหาที่เกษตรกรผู้สนใจเลี้ยงปลาหมอ
ทุกคนกังวลใจคือการปีนหนีของปลาหมอ
ซึ่งปลาเมื่อมีการปรับปรุงสายพันธุ์หรือแปลงเพศแล้วจะไม่มีการปีนขึ้นขอบบ่อ
เนื่องจากจะมีการเจริญพันธุ์ที่ช้าทำให้ปลาไม่ไข่ซึ่งหากปลาหมอเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์จะหยุดการเจริญเติบโตทันที
สังเกตได้ง่าย ๆ ปลาจะมีอัตราการกินอาหารลดลงแสดงว่าปลาจะไข่
เลี้ยงปลาหมอ ร่วม ปลาดุกอุย
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา คุณสุรกิจ เลาวกุล เลี้ยงปลาหมออยู่ใน
อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จะ เลี้ยงปลาดุกอุย ร่วมกับ ปลาหมอ
ในบ่อเดียวกัน เพื่อเพิ่มรายได้ก่อนหน้าที่จะเข้ามาสู่ในวงการสัตว์น้ำคุณ คุณสุรกิจ ชีวิตที่ต้องย้ายถิ่นฐานจากจังหวัดพิจิตร
มาทำงานที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและได้พบกับภรรยา
ทำงานที่เดียวกันแต่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
แต่แล้วภรรยาได้ป่วย จึงอยากที่จะย้ายกลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด
และเมื่อย้ายกลับมาจึงมองหาอาชีพที่สามารถทำได้ซึ่งตอนนั้นสัตว์น้ำที่นิยมเลี้ยงมากที่สุดคือตะพาบน้ำส่งออกจีน
มีความสนใจจึงไปศึกษามาจากจังหวัดสุพรรณบุรีและกลับมาเลี้ยง
แต่แล้วกลับประสบปัญหาขายไม่ได้ทำให้ขาดทุนเป็นสาเหตุให้เลิกเลี้ยงไปในที่สุด
แต่แล้วได้มีคนแนะนำให้ลองเลี้ยงปลาหมอในขณะที่บ่อว่างและยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ
และครั้งแรกที่เริ่มเลี้ยงยังไม่รู้แม้กระทั่งตลาดที่รับซื้อหรือคนจับ
การเลี้ยงปลาดุก อุยเสริมรายได้ในบ่อปลาหมอ
การเลี้ยงปลาดุกอุยร่วมกับปลาหมอถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
โดยจะเลี้ยงปลาดุกอุยร่วมกับปลาหมอในบ่อเดียวกันเพื่อเพิ่มรายได้แต่ต้องมีวิธีการประหยัดต้นทุนโดยการนำปลาดุกอุยขนาดลูกตุ้มมาปล่อยลงบ่อก่อน
100,000 ตัว
อายุปลาประมาณ
1 เดือน ก็จะนำปลาหมอมาปล่อยอีก 40,000 ตัว ตามลงไปซึ่งจะได้จับพร้อมกัน
แต่ในช่วงฤดูหนาวจะเลี้ยงยากเพราะอากาศเย็นปลาดุกอุยจะไม่ชอบจึงทำให้เลี้ยงยาก
ปริมาณน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาหมอและปลาดุกอุยร่วมกันจะอยู่ที่ 1.2-1.5 เมตร
ตลอดระยะเวลาการเลี้ยง
หากพูดถึงการเตรียมบ่อก็จะใช้วิธีทั่วไป
แต่จะมีการใช้โดโลไมท์ในการปรับสภาพน้ำหลังจากที่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
และอาหารที่ให้นั้นช่วงแรกจะให้เป็นอาหารกุ้งซึ่งมีลักษณะเป็นเม็ดจม
เพื่อให้ลูกปลาได้กินและเป็นการทำน้ำเขียวสร้างอาหารธรรมชาติไปในตัวด้วย
ฝนเดือนห้าฟ้าเดือนหก
ภายใน
1 ปี จะเลี้ยงปลาหมอได้ 3 รอบ
ในช่วงฝนจะพบปัญหาในการเลี้ยงบ้างเล็กน้อยเมื่อปลามีขนาดที่ใหญ่แล้ว
หากมีฝนตก ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง
หรือช่วงที่ชาวบ้านเรียกกันว่าฝนเดือนห้าฟ้าเดือนหก เป็นช่วงที่ฝนฟ้าคะนอง
ก็เป็นสาเหตุทำให้ปลาตายได้ ปลาจะตกใจและพุ่งชนพื้นเลนในบ่อตาย
ในส่วนฤดูหนาวปลาจะกินอาหารน้อยแต่ในทางภาคใต้ฤดูหนาว
ไม่ค่อยมีจึงไม่เกิดปัญหาในช่วงฤดูนี้ให้เห็นชัดอาจจะมีแค่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบางวันเท่านั้น
แต่ในช่วงฤดูร้อนมักจะพบปัญหามากที่สุดเนื่องจากหากปลาไม่ได้รับการปรับพันธุ์หรือแปลงเพศในเดือนที่
3 ของการเลี้ยงปลาจะเริ่มไข่ และกินอาหารลดลงกว่าปกติ
ส่งผลให้หยุดการเจริญเติบโตและปลาจะมีลักษณะที่ผอม ยาว
และทำให้เสียราคาตอนจับผลผลิต
“หัวเล็กตัวโต” … ปลาหมอ พันธุ์ใหม่โตเร็ว อัตรารอดสูง
การพัฒนาสายพันธุ์ต้องมีการพัฒนาอยู่แล้วเพราะกาลเวลาเปลี่ยน
ปัจจัยต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิคุ้มกันที่มีต่อโรค
อัตราการเจริญเติบโต และปัจจัยอื่น ๆ
จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้หนีห่างจากปัญหาที่เกษตรกรผู้เลี้ยงต้องพบเจอและเพื่อเป็นการพัฒนาวงการปลาหมอให้ก้าวหน้าขึ้นไป
การพัฒนาสายพันธุ์ ในครั้งนี้
เริ่มต้นจากเดิมนั้น
มีสายพันธุ์เป็นของตัวเองเมื่อปี 47 รวบรวมพ่อแม่พันธุ์
จากบ่อเลี้ยงธรรมชาติในพื้นที่ภาคใต้ และสมุทรสาคร เสร็จช่วงปี 49
โดยมีที่ปรึกษาเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ซึ่งการปรับปรุงพันธุ์ผ่านมาหลายรุ่น
โดยในรุ่นล่าสุดมีพัฒนาสายพันธุ์โดยนำสายพันธุ์ชุมพรเข้ามาพัฒนาอีกครั้งเมื่อปี
55 ร่วมกับสายพันธุ์ปลาธรรมชาติของจังหวัดเพชรบุรี
นครพนมและนครศรีธรรมราช จนปัจจุบันออกมาเป็นลูกผสม โดยมีอัตรารอดสูง
และอัตราการเจริญเติบโตที่ดีกว่าเดิม ต้านทานโรคเพิ่มขึ้น
รูปทรงของปลาหมอมีลักษณะรูปทรงที่หัวเล็กโครงร่างใหญ่ทรงสวย
ซึ่งแพที่จับชอบมาก เ
พราะการจับปลาหมอหากจับแล้วจะเลี้ยงต่อไม่ได้
ปลาจะไม่กินอาหาร เมื่อผ่านไปหลายวันปลาจะผอมลง
หากปลามีขนาดหัวที่ใหญ่จะทำให้ปลาหมอดูผอมไม่น่าซื้อขาย
หากหัวเล็กและปลามีขนาดผอมลงไปก็จะมีขนาดที่พอดีกัน
สามารถซื้อขายกันได้ตามปกติ
สรุปข้อดีคือสามารถยืดระยะเวลาการซื้อขายสู่ผู้บริโภคได้มากขึ้นนั่นเอง
ผลิตกว่า 1 ล้านตัวต่อเดือน
การผลิตลูกปลาหมอให้มีคุณภาพและมีปริมาณที่มากเพื่อให้เพียงพอต่อตลาดนับว่ายาก
ตลาดในตอนนี้มี 2 ที่หลักๆ คือ
ภาคใต้นครศรีธรรมราชและภาคกลางโซนจังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐม
สามารถกระจายลูกพันธุ์ปลาหมอได้แหล่งละประมาณ 500,000 ตัว
และลูกพันธุ์ก่อนจะออกจากฟาร์มจะต้องผ่าน เช่น เช็คโรค เช็คปรสิต
โดยการใช้กล้องจุลทรรศน์ หากชุดไหนไม่ผ่านจะไม่จำหน่ายให้ลูกค้า
เดินตลาดจริงรูปแบบใหม่
ตลาดหากจะเดินไปข้างหน้าต้องศึกษาเรียนรู้วิธีการใหม่ๆ
เพื่อที่จะให้ตลาดเดินได้แบบเต็มตัว
ต้องลงพื้นที่คุยกับคนเลี้ยงและแพรับจับหรือแม้กระทั่งอาหาร
ต้องเดินไปด้วยกันได้ทั้งหมด คนเลี้ยงจะต้องมีกำไร
แพจะต้องมีปลาจับโดยที่จะจับมือกับแพปลาที่เป็นพันธมิตรกันมานาน
ผู้ผลิตลูกปลามีที่ขาย อาหารจะต้องดีได้คุณภาพและมาตรฐาน
จึงจะเป็นพาร์ทเนอร์กันแบบยั่งยืน
ที่กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจจะดูเหมือนไม่มีน้ำหนักมากพอ ทีมงานสัตว์น้ำ ไปพบกับเกษตรกรผู้รับลูกพันธุ์ปลาหมอไปเลี้ยงอีก
2 ราย ที่เลี้ยงมานานกว่า 10 ปี ทั้ง 2 ท่านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ปลาหมอมีรูปทรงใหญ่และมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีต้องขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และอาหารเป็นหลัก
หากสายพันธุ์มีคุณภาพ อาหารได้มาตรฐาน
เลี้ยงปลาหมอให้มีการเจริญเติบโตที่ดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
คุณพินิจ เชาว์ลิต เลี้ยงปลาหมอนานกว่า 14 ปี
เดิมทีที่แห่งนี้ คุณพินิจ เชาว์ลิต เลี้ยงตะพาบน้ำในปี
40 แต่ขายยาก
ขาดทุนจึงได้หันมาเลี้ยงปลาโดยเริ่มจากปลาช่อนแต่ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงนาน
กำไรน้อย จึงหาปลาชนิดใหม่และได้มาพบกับปลาหมอและเลี้ยงมาจนถึงปัจจุบัน
แรกเริ่มนั้นได้พันธุ์ปลาหมอมาจากพัทลุงและไม่ได้ใช้อาหารของบริษัทไทยลักซ์
ฯ
ซึ่งตอนนั้นลูกปลาที่ออกมามี
5 ขนาด
และขนาดที่เฉลี่ยออกมาจะมีเพียงแค่ขนาดเล็กกับขนาดกลางตัวใหญ่จะมีน้อย
ทำให้เลี้ยงแล้วไม่ได้กำไรเท่าที่ควร
และในขณะเดียวกันทางอำพรพันธุ์ปลามีการพัฒนาสายพันธุ์มาในระดับหนึ่งในช่วงแรกคือไม่มีการแปลงเพศ
ใช้หลักการทางพันธุ์กรรมในการไขว้พ่อแม่พันธุ์กันและให้เป็นเพศเมียมากที่สุดเพราะหากเป็นเพศผู้ขนาดจะไม่ใหญ่
มีขนาดอยู่ที่ 2-3 นิ้ว
และมีการพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆเนื่องจากยังมีเปอร์เซ็นต์ตัวผู้ในปริมาณที่มากอยู่
จึงได้เพิ่มในส่วนของการแปลงเพศขึ้นมา ปลาที่ออกมาถึงมีขนาดเสมอกัน
และเปลี่ยนแหล่งมาเรื่อยๆ จนมาพบกับอำพรฟาร์ม หรือ คุณพงศ์
ได้อยู่กันยืนยาวมานานกว่า 10 ปี ด้วย การเลี้ยงปลาหมอ จำนวน 2 บ่อ
โดยการใช้น้ำบาดาลในการเลี้ยง
คัดเลือกลูกพันธุ์คุณภาพ
ในระยะของการปรับปรุงสายพันธุ์รอบแรก
บ่อขนาด 1 ไร่ จะมีอัตราการปล่อยมากกว่า 70,000 ตัว
ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงปลาหมอ 4 เดือน 15 วัน ผลผลิตที่ได้ 13
ตัวต่อกิโลกรัม หากเป็นฟาร์มทั่วไปที่ยังไม่มีการปรับปรุงสายพันธุ์
ปลาคัดและปลาเล็กจะมีปริมาณมากหากมีการปรับปรุงสายพันธุ์ที่ชัดเจนปลาจะมีขนาดใหญ่เสมอกันและจะทำให้มีกำไรในการเลี้ยง
และเนื่องจากสายพันธุ์ดี
โตไว อัตรารอดสูง ทำให้ต้องลดอัตราการปล่อยให้บางลงเหลือเพียง 45,000
ตัวต่อไร่ เท่านั้น แต่เมื่อจับมาผลผลิตเกินคาด ทำให้มีผลผลิตโดยเฉลี่ยถึง 3
ตัวต่อกิโลกรัม ปริมาณกว่า 14.2 ตัน
ปกติแล้วช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนจะไม่ลงปลากันเนื่องจากปลาจะไม่โตเพราะสภาพอากาศที่ร้อนแต่หากเป็นปลาหมอที่ผ่านการแปลงเพศและพัฒนาสายพันธุ์สามารถที่จะปล่อยลงเลี้ยงได้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : https://goo.gl/iFsYg2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น